วันนี้ไปทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์มา พอกลับมาสงสัยเรื่องกรวดน้ำ ว่ากรวดน้ำให้ตัวเองได้ด้วยหรือไม่
จึงไปหาคำตอบดู
ไปเจอเวปลานธรรม บังเอิญว่ามีคนถามคำถามนี้ไว้พอดี
ซึ่้งพระท่านอธิบายเรื่องบุญไว้ดีมาก ลองอ่านดูนะ
พระอาจารย์เปลี่ยนตอบปัญหาธรรมะ 4(การกรวดน้ำโดยไม่แบ่งบุญให้ตัวเอง...)
การกรวดน้ำโดยไม่แบ่งบุญให้ตัวเองส่วนหนึ่ง แล้วเราจะได้บุญที่ทำหรือไม่
เมื่อเราทำบุญแล้วเวลาพระให้พร เราก็กรวดน้ำให้แต่คนอื่น เราจะได้บุญไหม เพราะไม่ได้กรวดน้ำให้ตนเอง เราจะไปกรวดน้ำให้ตนเองทำไม เพราะตนเองเป็นคนทำอยู่แล้ว มันสุขใจอยู่แล้ว มีความสุขแล้วจึงแบ่งให้คนอื่น เหมือนเรามีสตางค์นี้แหละ เรามีแล้วจึงแบ่งให้คนอื่นได้ ไม่มีหรอกที่นั่งอยู่ในที่นี้ที่จะแบ่งให้เขาหมด หรือจะควักสตางค์ให้เขาหมด จนตนเองไม่มีสักสตางค์ มันต้องมีเงินเหลืออยู่ แต่ให้แล้วมันมีความสุขนะ บัดนี้ตนเองมีความสุข นั่นแหละเขาเรียกว่าบุญ อุทิศให้คนอื่นอยู่ แต่ใจของเรามีความสุข ถ้าเราเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ มีอาหารการกินหรือขนม แล้วแบ่งให้เพื่อนกินกันทุกคนเมื่อเพื่อนกินอิ่มกันทุกคน เราจะมีความสุขไหม
ความสุขใจก็คือบุญ พวกฝรั่งเขาไม่รู้เรื่องตรงนี้แหละ เนื่องจากไม่มีใครสอนให้เขาให้รู้จักทำบุญ เวลาไปกินข้าวด้วยกันก็ต้องจ่ายใครจ่ายมัน ไม่มีการเลี้ยงกัน ถึงแม้จะเป็นพี่กันน้องกันก็ตาม ไม่เหมือนคนไทยที่ออกเงินเลี้ยงแทนกันได้ นั่นแหละ เมื่อเราแบ่งปันให้แก่คนอื่น ตนเองก็มีความสุขอยู่แล้ว ทำไมจึงว่าไม่เมตตาเจ้าของเล่า ตนเองมีความสุข นั่นแหละคือตัวบุญแท้ๆ บุญคือความสุขใจ มันก็ได้บุญอยู่ดี การที่เราจะเมตตาตน ก็คือสร้างความดีให้เกิดขึ้นแก่ตน เขาเรียกว่าเมตตาตน ถ้าเราไม่มีแล้วเราจะเอาอะไรไปให้เขา เราไหว้พระสวดมนต์ภาวนาก็เป็นบุญ มีวัตถุก็เป็นบุญ จึงจะให้เขาได้เราไม่มีอะไร เราจะเอาอะไรไปให้เขา เราต้องมีความดีซิจึงเอาไปให้เขาได้ เขาจึงมีความสุข เหมือนเพื่อนไม่ดี เราใช้ปากเราสอนว่าอย่าไปทำนะอันนี้มันไม่ดี พอเพื่อนหยุดทำเท่านั้น ตนเองก็มีความสุขแล้ว เนื่องจากเราเป็นคนสอนเขา เขาจึงหยุดทำความชั่ว เราไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เรามีความสุขใจเพื่อนกำลังจะดื่มเหล้า เราไปเตือนว่าอย่าดื่มนะเดี๋ยวมันจะเมา พอเขาหยุดเท่านั้นเราก็ดีใจแล้ว เพราะว่าเพื่อนของเราไม่ทำความชั่วไม่ผิดศีล
ระหว่าง ค้นหา ได้พบกับคำที่ไอสไตน์พูดไว้
The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)
"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้
....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"
ีซึ่งพอเหมาะพอเจาะกับ ที่ระหว่างทาง ได้บังเิอิญคิดถึงเรื่อง พระอนาคตพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 29 พระนามว่า พระศรีอาริยะเมตไตรย
ในเรื่องวิทยาศาสตร์ดังที่ไอสไตน์ได้กล่าวมาแล้ว
จึงได้ค้นหาเรื่องของท่านเพิ่มเติม พบว่า มีจารึกไว้ในพระไตรปิฎกดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 119
จักกวัตติสูตร
ว่าด้วยการงดเว้นอกุศลกรรมบถ ๑๐ อายุยืน
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี อายุ ๕๐๐ ปีจึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรกจักยัดเยียดไป ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก เป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน คับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญมีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมเหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้ แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง. พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรง-
บริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่ พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้าคนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จัก ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรง ผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ
จึงไปหาคำตอบดู
ไปเจอเวปลานธรรม บังเอิญว่ามีคนถามคำถามนี้ไว้พอดี
ซึ่้งพระท่านอธิบายเรื่องบุญไว้ดีมาก ลองอ่านดูนะ
พระอาจารย์เปลี่ยนตอบปัญหาธรรมะ 4(การกรวดน้ำโดยไม่แบ่งบุญให้ตัวเอง...)
การกรวดน้ำโดยไม่แบ่งบุญให้ตัวเองส่วนหนึ่ง แล้วเราจะได้บุญที่ทำหรือไม่
เมื่อเราทำบุญแล้วเวลาพระให้พร เราก็กรวดน้ำให้แต่คนอื่น เราจะได้บุญไหม เพราะไม่ได้กรวดน้ำให้ตนเอง เราจะไปกรวดน้ำให้ตนเองทำไม เพราะตนเองเป็นคนทำอยู่แล้ว มันสุขใจอยู่แล้ว มีความสุขแล้วจึงแบ่งให้คนอื่น เหมือนเรามีสตางค์นี้แหละ เรามีแล้วจึงแบ่งให้คนอื่นได้ ไม่มีหรอกที่นั่งอยู่ในที่นี้ที่จะแบ่งให้เขาหมด หรือจะควักสตางค์ให้เขาหมด จนตนเองไม่มีสักสตางค์ มันต้องมีเงินเหลืออยู่ แต่ให้แล้วมันมีความสุขนะ บัดนี้ตนเองมีความสุข นั่นแหละเขาเรียกว่าบุญ อุทิศให้คนอื่นอยู่ แต่ใจของเรามีความสุข ถ้าเราเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ มีอาหารการกินหรือขนม แล้วแบ่งให้เพื่อนกินกันทุกคนเมื่อเพื่อนกินอิ่มกันทุกคน เราจะมีความสุขไหม
ความสุขใจก็คือบุญ พวกฝรั่งเขาไม่รู้เรื่องตรงนี้แหละ เนื่องจากไม่มีใครสอนให้เขาให้รู้จักทำบุญ เวลาไปกินข้าวด้วยกันก็ต้องจ่ายใครจ่ายมัน ไม่มีการเลี้ยงกัน ถึงแม้จะเป็นพี่กันน้องกันก็ตาม ไม่เหมือนคนไทยที่ออกเงินเลี้ยงแทนกันได้ นั่นแหละ เมื่อเราแบ่งปันให้แก่คนอื่น ตนเองก็มีความสุขอยู่แล้ว ทำไมจึงว่าไม่เมตตาเจ้าของเล่า ตนเองมีความสุข นั่นแหละคือตัวบุญแท้ๆ บุญคือความสุขใจ มันก็ได้บุญอยู่ดี การที่เราจะเมตตาตน ก็คือสร้างความดีให้เกิดขึ้นแก่ตน เขาเรียกว่าเมตตาตน ถ้าเราไม่มีแล้วเราจะเอาอะไรไปให้เขา เราไหว้พระสวดมนต์ภาวนาก็เป็นบุญ มีวัตถุก็เป็นบุญ จึงจะให้เขาได้เราไม่มีอะไร เราจะเอาอะไรไปให้เขา เราต้องมีความดีซิจึงเอาไปให้เขาได้ เขาจึงมีความสุข เหมือนเพื่อนไม่ดี เราใช้ปากเราสอนว่าอย่าไปทำนะอันนี้มันไม่ดี พอเพื่อนหยุดทำเท่านั้น ตนเองก็มีความสุขแล้ว เนื่องจากเราเป็นคนสอนเขา เขาจึงหยุดทำความชั่ว เราไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เรามีความสุขใจเพื่อนกำลังจะดื่มเหล้า เราไปเตือนว่าอย่าดื่มนะเดี๋ยวมันจะเมา พอเขาหยุดเท่านั้นเราก็ดีใจแล้ว เพราะว่าเพื่อนของเราไม่ทำความชั่วไม่ผิดศีล
ระหว่าง ค้นหา ได้พบกับคำที่ไอสไตน์พูดไว้
The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)
"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้
....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"
ีซึ่งพอเหมาะพอเจาะกับ ที่ระหว่างทาง ได้บังเิอิญคิดถึงเรื่อง พระอนาคตพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 29 พระนามว่า พระศรีอาริยะเมตไตรย
ในเรื่องวิทยาศาสตร์ดังที่ไอสไตน์ได้กล่าวมาแล้ว
จึงได้ค้นหาเรื่องของท่านเพิ่มเติม พบว่า มีจารึกไว้ในพระไตรปิฎกดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 119
จักกวัตติสูตร
ว่าด้วยการงดเว้นอกุศลกรรมบถ ๑๐ อายุยืน
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี อายุ ๕๐๐ ปีจึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรกจักยัดเยียดไป ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก เป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน คับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญมีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมเหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้ แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง. พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรง-
บริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่ พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้าคนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จัก ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรง ผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ
ความคิดเห็น