ตอนเด็กๆไม่ค่อยชอบดูละคร จะว่าละครไทย หรือ ละครเทศ ก็ไม่ค่อยชอบดู
มีคนบอกว่า ดูละคร จะทำให้เห็นการแก้ไขปัญหา
แต่พอสังเกตดู
เวลาตัวละครในละครมีปัญหา มักจะไม่ค่อยได้แก้ปัญหาเอง หากแต่มีเหตุการณ์อะไรอย่างหนึ่ง ทำให้ปัญหาสามารถลุล่วงไปได้
นิยาย ก็มาแนวเดียวกัน
อันที่จริง ตอนเด็กๆ คิดว่าละครไม่สมจริง เรื่องการแก้ปัญหา
แต่พอโตขึ้นมา พบว่า ที่ตอนเด็กคิดเช่นนั้น เพราะว่า ตอนเด็ก เรามักใช้ชีวิตมีแค่ด้านเดียว
ชีวิตด้านเดียว คือ เรียนก็เรียนอย่างเดียว
หรือ ถ้าโตมาหน่อย ทำงานก็คือทำงานอย่างเดียว
โฟกัสที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง และ โฟกัสมากกว่าเรื่องอื่นๆมากเกินไป
ทำให้ไม่ค่อยได้มีเหตุการณ์ที่พัดพาทำให้ปัญหาลุไปได้
จริงๆ แล้ว ชีวิตคนเรามีหลายด้าน
หากตอนเรียน เราก็ตั้งใจเรียน หรือ ตอนทำงาน เราก็ทำงาน แต่จริงๆ ก็น่าจะมีด้านที่ไปเที่ยวเล่น หรือ ทำงานอดิเรกบ้าง
เช่น พักหลัง มีงานอดิเรก ถ่ายภาพ ได้ไปเที่ยวพบปะผู้คนมากขึ้น
ได้มีโอกาสไปลองลงเรียนถ่ายภาพด้วย ทำให้ได้พบประสบการณ์แปลกใหม่เยอะขึ้น
มีไปเรียนภาษาจีน ซึ่งก็ได้พบคนใหม่ๆเยอะขึ้น
มีงานอดิเรก เขียนโปรแกรม ซึ่งถ้าคิดอะไรได้ก็ทำไปเลย อันไหนยังไม่เสร็จก็ดองๆไว้ รอว่างๆ หรือ มีอารมณ์มาทำก็มาทำ หลายอันเหมือนกัน
ช่วงที่เขียนอยู่นี่ NES ของปู่นิน ก็กลับมาฮิต เพราะเขาเอาเครื่องมาย่อส่วนใหม่ ก็ได้เอา Emulator กลับมาลองเล่นดูใหม่
ตอนเล็กๆ โรงเรียนชอบถามว่า มีงานอดิเรกอะไร
ตอนนั้น option ก็ยังมีไม่มากนัก ทั้งตอนนั้นยังตอนเรียน ยังไม่ค่อยมีกำลังทรัพย์ เพราะ งานอดิเรกก็ต้องใช้เงิน บางอันก็ใช้เงินเยอะเหมือนกัน
แต่ตอนเด็กก็มีบอกไปว่า เราสะสม แสตมป์ และ เราสะสม เหรียญ
ก็ได้แสตมป์มาจากที่ของที่บ้าน เขียนจดหมายติดต่อกับคนอื่น เป็นแสตมป์ในประเทศบ้าง แสตมป์ต่างประเทศบ้าง มีแสตมป์ที่ญาติให้เพราะเห็นว่าเราสะสมบ้าง เหรียญก็เช่นกัน
จริงๆ งานสะสมแสตมป์ก็ดี แต่หลังๆก็เริ่มขี้เกียจ แสตมป์ เวลาตัดก็เริ่มเอามาดอง
งานสะสมแสตมป์ตอนเด็ก ก็ทำให้ชีวิตเรามีด้านเดียวอยู่ดี
การใช้ชีวิตด้านเดียว ทำให้เวลามีปัญหาอะไร มันจะอยู่แค่ตรงนั้น ซึ่งไม่ค่อยจะดี
ยกตัวอย่าง เรื่องเล็กน้อยที่คล้ายๆกัน เช่น
ถ้าสมมติว่า เราสนใจจะซื้อ ผลิตภัณฑ์ อะไรก็ได้ ของ Apple แล้วไปดูคลิป ผลิตภัณฑ์นั้น 1 คลิป บน YouTube
เราจะถูกหลอกหลอนโดยระบบ suggestion ของ YouTube ให้ดูคลิปที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกเยอะแยะตาแป๊ะขายขวด
ถ้าสมมติว่า เรายังตัดสินใจไม่ได้ และยังดูคลิปของ YouTube มันก็จะดูวนไปอยู่อย่างนัั้น
แต่ถ้าเรามีอะไรอย่างอื่นทำ มันจะทำให้เราดึงความสนใจตัวเองออกมา เช่นเปิดร้านขายของ ก็จะลดความอยากได้ลงไปได้
อีกเรื่องหนึ่ง ก็เช่น
สาวคนนึงซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพื่อนของเราเอง มีปัญหาเรื่องคนที่เข้ามาจีบเธอ เธอก็วน คิดแต่เรื่องเขาคนนั้นตลอด เวลาเขาทำไม่ดี ก็มัวแต่คิดว่า เขาทำอย่างนั้นทำไม มีเหตุผลอะไร อะไรอย่างนั้น
แต่ถ้าเธอลองหาอะไรที่มีประโยชน์กับชีวิตของเธอทำ เช่น ไปเรียนปริญญาโท หรือ ทำอะไรอย่างอื่น ก็จะช่วยให้เธอลดความฟุ้งซ่านลงไปได้
หรือ แม้กระทั่งการมีปัญหาเรื่องการงาน
คือ ถ้าชีวิต มีเรื่องการงานเพียงอย่างเดียว ก็คงวนคิดแต่เรื่องนั้น
หากแต่ว่า มีงานอดิเรก หรือสิ่ง อื่นๆ ทำ ด้วย ก็จะลดความกังวล และความเครียดลงไปได้มากทีเดียว
จริงๆ แล้ว ชีวิตมีหลายด้าน
ถ้าใช้สมดุล ปัญหาต่างๆ จะลุได้ เพราะเหตุการณ์ได้จริง เหมือนปัญหาในละคร
ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน
มีคนบอกว่า ดูละคร จะทำให้เห็นการแก้ไขปัญหา
แต่พอสังเกตดู
เวลาตัวละครในละครมีปัญหา มักจะไม่ค่อยได้แก้ปัญหาเอง หากแต่มีเหตุการณ์อะไรอย่างหนึ่ง ทำให้ปัญหาสามารถลุล่วงไปได้
นิยาย ก็มาแนวเดียวกัน
อันที่จริง ตอนเด็กๆ คิดว่าละครไม่สมจริง เรื่องการแก้ปัญหา
แต่พอโตขึ้นมา พบว่า ที่ตอนเด็กคิดเช่นนั้น เพราะว่า ตอนเด็ก เรามักใช้ชีวิตมีแค่ด้านเดียว
ชีวิตด้านเดียว คือ เรียนก็เรียนอย่างเดียว
หรือ ถ้าโตมาหน่อย ทำงานก็คือทำงานอย่างเดียว
โฟกัสที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง และ โฟกัสมากกว่าเรื่องอื่นๆมากเกินไป
ทำให้ไม่ค่อยได้มีเหตุการณ์ที่พัดพาทำให้ปัญหาลุไปได้
จริงๆ แล้ว ชีวิตคนเรามีหลายด้าน
หากตอนเรียน เราก็ตั้งใจเรียน หรือ ตอนทำงาน เราก็ทำงาน แต่จริงๆ ก็น่าจะมีด้านที่ไปเที่ยวเล่น หรือ ทำงานอดิเรกบ้าง
เช่น พักหลัง มีงานอดิเรก ถ่ายภาพ ได้ไปเที่ยวพบปะผู้คนมากขึ้น
ได้มีโอกาสไปลองลงเรียนถ่ายภาพด้วย ทำให้ได้พบประสบการณ์แปลกใหม่เยอะขึ้น
มีไปเรียนภาษาจีน ซึ่งก็ได้พบคนใหม่ๆเยอะขึ้น
มีงานอดิเรก เขียนโปรแกรม ซึ่งถ้าคิดอะไรได้ก็ทำไปเลย อันไหนยังไม่เสร็จก็ดองๆไว้ รอว่างๆ หรือ มีอารมณ์มาทำก็มาทำ หลายอันเหมือนกัน
ช่วงที่เขียนอยู่นี่ NES ของปู่นิน ก็กลับมาฮิต เพราะเขาเอาเครื่องมาย่อส่วนใหม่ ก็ได้เอา Emulator กลับมาลองเล่นดูใหม่
ตอนเล็กๆ โรงเรียนชอบถามว่า มีงานอดิเรกอะไร
ตอนนั้น option ก็ยังมีไม่มากนัก ทั้งตอนนั้นยังตอนเรียน ยังไม่ค่อยมีกำลังทรัพย์ เพราะ งานอดิเรกก็ต้องใช้เงิน บางอันก็ใช้เงินเยอะเหมือนกัน
แต่ตอนเด็กก็มีบอกไปว่า เราสะสม แสตมป์ และ เราสะสม เหรียญ
ก็ได้แสตมป์มาจากที่ของที่บ้าน เขียนจดหมายติดต่อกับคนอื่น เป็นแสตมป์ในประเทศบ้าง แสตมป์ต่างประเทศบ้าง มีแสตมป์ที่ญาติให้เพราะเห็นว่าเราสะสมบ้าง เหรียญก็เช่นกัน
จริงๆ งานสะสมแสตมป์ก็ดี แต่หลังๆก็เริ่มขี้เกียจ แสตมป์ เวลาตัดก็เริ่มเอามาดอง
งานสะสมแสตมป์ตอนเด็ก ก็ทำให้ชีวิตเรามีด้านเดียวอยู่ดี
การใช้ชีวิตด้านเดียว ทำให้เวลามีปัญหาอะไร มันจะอยู่แค่ตรงนั้น ซึ่งไม่ค่อยจะดี
ยกตัวอย่าง เรื่องเล็กน้อยที่คล้ายๆกัน เช่น
ถ้าสมมติว่า เราสนใจจะซื้อ ผลิตภัณฑ์ อะไรก็ได้ ของ Apple แล้วไปดูคลิป ผลิตภัณฑ์นั้น 1 คลิป บน YouTube
เราจะถูกหลอกหลอนโดยระบบ suggestion ของ YouTube ให้ดูคลิปที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกเยอะแยะตาแป๊ะขายขวด
ถ้าสมมติว่า เรายังตัดสินใจไม่ได้ และยังดูคลิปของ YouTube มันก็จะดูวนไปอยู่อย่างนัั้น
แต่ถ้าเรามีอะไรอย่างอื่นทำ มันจะทำให้เราดึงความสนใจตัวเองออกมา เช่นเปิดร้านขายของ ก็จะลดความอยากได้ลงไปได้
อีกเรื่องหนึ่ง ก็เช่น
สาวคนนึงซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพื่อนของเราเอง มีปัญหาเรื่องคนที่เข้ามาจีบเธอ เธอก็วน คิดแต่เรื่องเขาคนนั้นตลอด เวลาเขาทำไม่ดี ก็มัวแต่คิดว่า เขาทำอย่างนั้นทำไม มีเหตุผลอะไร อะไรอย่างนั้น
แต่ถ้าเธอลองหาอะไรที่มีประโยชน์กับชีวิตของเธอทำ เช่น ไปเรียนปริญญาโท หรือ ทำอะไรอย่างอื่น ก็จะช่วยให้เธอลดความฟุ้งซ่านลงไปได้
หรือ แม้กระทั่งการมีปัญหาเรื่องการงาน
คือ ถ้าชีวิต มีเรื่องการงานเพียงอย่างเดียว ก็คงวนคิดแต่เรื่องนั้น
หากแต่ว่า มีงานอดิเรก หรือสิ่ง อื่นๆ ทำ ด้วย ก็จะลดความกังวล และความเครียดลงไปได้มากทีเดียว
จริงๆ แล้ว ชีวิตมีหลายด้าน
ถ้าใช้สมดุล ปัญหาต่างๆ จะลุได้ เพราะเหตุการณ์ได้จริง เหมือนปัญหาในละคร
ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน
ความคิดเห็น